ตลาดการเงิน จับตาการเมืองไทย ประเมินยุบสภา ค่าเงินบาทไม่ผันผวนแรง
2025-09-03 HaiPress
ตลาดการเงิน จับตาการเมืองไทย ประเมินแนวโน้มค่าเงินบาทขึ้นอยู่กับการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ ชี้ยุบสภา ไม่ผันผวนแรง ยังทรงตัวไปในทางแข็งค่า
นายแพททริก ปูเลีย รองผู้จัดการใหญ่ Head of Financial Markets Function ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า เงินบาทเดือน ส.ค.ที่ผ่านมาเคลื่อนไหวในกรอบแคบ โดยพบว่าความผันผวน (Volatility) ของเงินบาทลดลง สอดคล้องกับ Volatility ของตลาดการเงินโลกที่ลดลง ทั้งในตลาดหุ้น ตลาดบอนด์ และตลาดอัตราแลกเปลี่ยน โดยเป็นผลจากนักลงทุนเริ่มชินกับความไม่แน่นอนของนโยบายทรัมป์ รวมถึงนโยบายเรื่อง Tariffs และสงครามระหว่างประเทศที่มีพัฒนาการดีขึ้น
ปัจจัยที่ทำให้บาทยังแข็งค่าต่อได้มาจากดัชนีเงินดอลลาร์สหรัฐที่ยังคงอ่อนค่าต่อเนื่อง จาก 1) Jarome Powell ประธาน Fed ส่งสัญญาณลดดอกเบี้ย 2) Trump ปลด Lisa Cook จากตำแหน่ง Fed governor และ 3) ศาลอุทธรณ์สหรัฐ มีมติว่านโยบาย Tariffs ของ Trump ไม่ชอบด้วยกฎหมาย (แต่ยังให้บังคับใช้ต่อได้จนกว่าคดีจะถึงที่สุด) ซึ่งปัจจัยดังกล่าวทำให้ความเชื่อมั่นต่อสินทรัพย์สหรัฐ ลดลง
ด้านเงินหยวนยังแข็งค่าขึ้น แม้เลขเศรษฐกิจจีนยังอ่อนแอ โดยธนาคารกลางจีนปล่อยให้ Fixing เงินหยวนแข็งค่าขึ้นด้วย จึงหนุนให้เงินภูมิภาคแข็งค่าตามไปด้วย และราคาทองคำที่สูงขึ้นยังหนุนให้เงินบาทแข็งค่าตาม และแข็งค่ามากกว่าสกุลอื่นในภูมิภาค
สำหรับปัจจัยในประเทศคือเลขเศรษฐกิจไทย (GDP) ในไตรมาส 2 ออกมาดีตามคาด จากการเร่งส่งออกและการลงทุนภาคเอกชนที่กลับมาขยายตัว ทำให้มีการปรับประมาณการ GDP ปี 2568 สูงขึ้นเล็กน้อย ทั้งนี้ พบว่า ธปท. เข้าดูแลการแข็งค่าของเงินบาท โดยเห็นว่าเงินบาทได้รับแรง support ที่ระดับ 32.25 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งอาจสะท้อนการเข้าแทรกแซงโดยการขายเงินบาทเทียบต่อดอลลาร์สหรัฐออกมา ทำให้บาทยังไม่สามารถแข็งค่าต่ำกว่าระดับนี้ได้
ในระยะต่อไป แนวโน้มเงินบาทจะขึ้นอยู่กับฉากทัศน์การเมืองไทยเป็นสำคัญ โดยปัจจัยสำคัญที่จะส่งผลต่อตลาดการเงินไทยคือ การประกาศใช้ พ.ร.บ.งบประมาณปี 2569 ว่าจะถูกเลื่อนออกไปหรือไม่ และจะมีการประกาศยุบสภาหรือไม่
ประเมินว่าแม้การเลือกแคนดิเดตนายกฯ จะมีนัยต่อการเมืองในระยะต่อไปอย่างมาก แต่จะไม่ส่งผลต่อเงินบาทมากนัก โดยหากสามารถโหวตเลือกนายกฯ ได้เร็ว ไม่ว่านายกฯ จะมาจากพรรคภูมิใจไทยหรือพรรคเพื่อไทย คาดว่าเงินบาทจะไม่ผันผวนแรง และยังทรงตัวในระดับแข็งค่าต่อไปได้ อย่างไรก็ดี หากการโหวตยืดเยื้อ หรือไม่สามารถหาข้อตกลงได้ หรือนำไปสู่การยุบสภา อาจทำให้เงินบาทผันผวน และอ่อนค่าลงได้
ประเด็นที่ต้องติดตามคือ การผ่าน พ.ร.บ.งบประมาณปี 2569 โดยในขณะนี้ได้ผ่านรัฐสภาในวาระที่ 3 ไปแล้ว ดังนั้น หากวุฒิสภาไม่ปรับแก้สาระสำคัญ ก็น่าจะสามารถประกาศใช้ พ.ร.บ.งบประมาณได้ตามกรอบเวลาเดิม ซึ่งจะไม่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและตลาดการเงินไทยนัก
นายวชิรวัฒน์ บานชื่น นักกลยุทธ์ตลาดการเงินอาวุโส ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า กรณีฐาน (Baseline scenario) ที่การเลือกนายกฯ ทำได้เร็ว และ พ.ร.บ.งบประมาณผ่านได้ตามคาด เงินบาทอาจอยู่ในกรอบ 31.50-32.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ในช่วงปลายปี
ทั้งนี้ หากมีการปรับแก้รายละเอียดเล็กน้อยของ พ.ร.บ.งบประมาณ รัฐสภาจะยังสามารถปรับแก้ได้ และไม่น่าจะกระทบกรอบเวลาในการประกาศใช้นัก ก็อาจไม่กระทบตลาดการเงินไทยนัก
อย่างไรก็ดี ในกรณี Alternative scenario คือ 1) หากมีการยุบสภา นักลงทุนอาจกังวลต่อความไม่แน่นอน หรือ 2) หากวุฒิสภาปรับแก้สาระสำคัญของ พ.ร.บ. และสภาผู้แทนราษฎรต้องพิจารณาใหม่ อาจต้องมีคณะรัฐมนตรีเต็มรูปแบบในการรับรองร่างที่จะนำขึ้นทูลเกล้าฯ ก็อาจทำให้การประกาศใช้ พ.ร.บ.งบประมาณล่าช้าออกไป ซึ่งในกรณีทั้ง 2 นี้ เงินบาทมีโอกาสอ่อนค่าในระยะสั้น โดยมองกรอบที่ราว 33.60-33.10 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ
สำหรับประเด็นอื่นที่อาจกระทบเงินบาท และต้องติดตาม คือ 1) คำตัดสิน Supreme court ของสหรัฐ ต่อประเด็นอำนาจในการดำเนินนโยบาย Tariffs ของทรัมป์ และ 2) แนวโน้มการลดดอกเบี้ยของ Fed และจะสามารถลดดอกเบี้ยได้ต่อเนื่องหรือไม่ และ Terminal rate จะอยู่ที่เท่าไหร่ ซึ่งการปลด Fed governor และแต่งตั้ง Fed chair ที่จะมาดำรงตำแหน่งแทน Powell ในปีหน้า จะส่งผลต่อ tone ของคณะกรรมการ FOMC
มุมมองดอกเบี้ยนโยบายไทย คาดว่า กนง. จะลดดอกเบี้ยอีกอย่างน้อย 1 ครั้งภายในปีนี้ และลดต่อได้อีก 1 ครั้งในช่วงต้นปีหน้า เพื่อพยุงเศรษฐกิจไทยในช่วงที่ความไม่แน่นอนทางการเมืองกลับมาสูงขึ้น
ทั้งนี้ หากเกิด Shock การเมือง เช่น พ.ร.บ.งบประมาณล่าช้า หรือการเบิกจ่ายและออกนโยบายติดขัด ก็อาจทำให้นโยบายการเงินต้องผ่อนคลายมากขึ้น โดยอาจเห็น กนง. ลดดอกเบี้ยไปที่ 0.75% ภายในครึ่งปีแรกปี 2569 ได้